#ไม่ต้องตกใจ แต่ไม่ประมาท
เมื่อวันศุกร์ ตลาดหุ้นอเมริกา แดงเถือก ทุกกระดาน ลดลงร่วม 3%-4% เป็นปฎิกริยาของนักลงทุนหลังจากได้ฟังคำกล่าวของประธานเฟด นายพาวเวลล์ ในงานประชุมสัมมนาเศรษฐกิจประจำปีของเฟด
นายพาวเวลล์ ใช้คำพูดค่อนข้างตรงไปตรงมา สั้น กระชับ ไม่ต้องตีความ และเน้นน้ำหนัก ถึงทิศทางที่ต้องเตรียมเฝ้าระวัง เตรียมรับมือกับความเจ็บปวดจากการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
สวนทางกับความหวังของนักลงทุนที่ต้องการนโยบายที่ผ่อนคลายการขึ้นดอกเบี้ย นายพาวเวลล์กล่าวว่า นี่เป็นต้นทุนที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งถ้าหากล้มเหลว และไม่อาจฟื้นเสถียรภาพด้านราคาได้ ความเสียหายจะยิ่งมากมหาศาลกว่านี้มาก
ถึงแม้ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฏาคมจะลดลง แต่การลดลงแค่เพียงเดือนเดียวนั้นยังสั้นเกินไปเฟดยังต้องดูข้อมูลให้รอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถเอาเงินเฟ้ออยู่ แนวทางที่ชัดเจนที่ ประธานเฟดบอก คือ ดอกเบี้ยต้องขึ้นสูงพอ และมีระยะเวลาที่นานพอที่จะทำให้เงินเฟ้อลดลงจริงๆ
หากเฟดยังจำเป็นต้องขึ่นดอกเบี้ยอีก ย่อมกระทบต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รายย่อย และครัวเรือน และนำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ นักลงทุนในตลาดหุ้นอ่อนไหวต่อข้อมูลและการคาดการณ์ จึงโยกเงินออกจากตลาดหุ้นอเมริกาไปแล้วร่วม 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ของไทยเรา เป็นคนละบริบทกับสหรัฐอเมริกา การต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ ต้องเข้าใจสาเหตุที่เงินเฟ้อสูงขึ้น ของไทยส่วนใหญ่มาจากฝั่งอุปทาน ราคาน้ำมันโลก ที่ส่งผลกระทบกับราคาสินค้า ฉะนั้น การขึ้นดอกเบี้ยอย่างเดียว จะไม่สามารถดึงอัตราเงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1%-3% ได้
เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงค่อยๆฟื้นตัว จากภาคการท่องเที่ยวและส่งออก แต่ยังถือว่าฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศอื่น และฟื้นตัวได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ การขึ้นดอกเบี้ยมากไปกลับจะเป็นอุปสรรคของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทยแล้ว ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดช็อกในภาคธุรกิจและครัวเรือน และจะไม่ทำให้นักลงทุนตกใจโยกย้ายเงินออกจากตลาดหุ้น
อาจารย์แหม่ม
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
27 สิงหาคม 2565