“ธุรกิจสีเทา” อย่าโยนบาปแบบเหมารวมให้คนจีน
นายภูวนารถ ณ สงขลา นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน เปิดเผยว่า จากกรณีการปราบปรามธุรกิจสีเทาซึ่งเกี่ยวข้องกับคนจีนบางราย ที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้ ได้ทำให้เกิดความกังวลใจในเรื่องการใช้คำเรียกขานว่า “กลุ่มทุนจีนสีเทา” ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนจีนในภาพรวมได้
“เรื่องนี้มีเพื่อนชาวจีนในไทยหลายคนมีความไม่สบายใจ และหวังให้สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่า คนจีนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายเป็นแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาของสังคมทุกประเทศ ที่ล้วนมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้นจึงไม่อยากให้เหมารวม อยากให้เรียกเป็นแค่ กลุ่มธุรกิจสีเทา โดยไม่ใส่คำว่าจีนเข้าไป เพราะจริงๆกลุ่มธุรกิจสีเทาที่มาจากต่างประเทศนั้น มีหลายสัญชาติ ไม่ได้มีเฉพาะแค่จีนเท่านั้น”
นายภูวนารถ กล่าวว่า สำหรับความคิด ความรู้สึกดังกล่าวสามารถเข้าใจได้ และรู้สึกเห็นใจในภาพรวมที่เกิดขึ้น ซึ่งทางเพื่อนชาวจีนได้มีการเขียนบทความสะท้อนความรู้สึกมาให้ โดยมีสาระที่น่าสนใจ ด้วยเหตุนี้จึงขอนำมาเผยแพร่ให้สังคมได้รู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเพื่อนชาวจีนในเวลานี้ และหวังให้มีการช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกัน
สำหรับบทความดังกล่าวที่ได้รับมานั้น มีใจความ ดังนี้…
จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรที่ดี หุ้นส่วนที่ดีและญาติที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งและยาวนานนับพันปี ชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนและชาวไทยได้ผสานเชื้อชาติและวัฒนธรรมของตนเข้าด้วยกันผ่านการค้าขาย การแต่งงาน ฯลฯ ดั่งเช่นคำกล่าว “ความสัมพันธ์ไทย-จีนฉันท์ครอบครัว” ชาวจีนจำนวนมากชอบมาประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา เป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีสถานศึกษาที่ดี นับเป็นดินแดนสวรรค์การลงทุน
และปฏิเสธมิได้ว่าจีนกลายเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ “ กลุ่มทุนจีนสีเทา” ที่อาจจะนำไปสู่ผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้เริ่มการสืบสวนสอบสวนเพื่อทลายเครือข่าย “กลุ่มธุรกิจสีเทา” หลังจากครบ 1 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาคนสำคัญคือ นายตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีนที่โอนสัญชาติเป็นคนไทย ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เดิมกลุ่มเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยต้องการทลาย คือ กลุ่มมิจฉาชีพ บ่อนพนัน ยาเสพติด และขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งหลบหนีเข้าไทยมาจากกัมพูชา พม่า และลาว กระบวนการเหล่านี้คือองค์กรอาชญากร อย่างไรก็ตาม การปราบปราม “กลุ่มธุรกิจสีเทา” ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนของจีน
เป็นที่น่าสงสัยว่า แล้ว“ กลุ่มธุรกิจสีเทา ” เหล่านี้คืออะไร เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเส้นใหญ่ มีอิทธิพล ใช้เงินใต้โต๊ะ “ธุรกิจสีเทา” คือ การประกอบธุรกิจที่ดูภายนอกถูกกฎหมาย แต่มีสิ่งแอบแฝงที่ไม่ถูกกฎหมาย หรือ ใช้ช่องว่างกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตน
กล่าวถึงกรณี นายตู้ห่าว ชาวจีนซึ่งโอนสัญชาติเป็นคนไทย เขาได้กระทำธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ประเด็นที่พึงระวังคือ การเรียกขานกลุ่มผู้กระทำผิดพวกนี้ว่า “กลุ่มทุนจีนสีเทา” เพราะแม้พวกเขาจะเป็นชาวจีน แต่ก็เป็นเพียงคนจีนส่วนน้อย ในขณะที่ชาวจีนส่วนใหญ่ เป็น “กลุ่มทุนจีนสีขาว” ที่เข้ามาลงทุน เข้ามาทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ทำให้มีคนจีนในไทยจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าจะมีการเข้าใจผิดแบบเหมารวม ทั้งๆที่คนจีนส่วนมากก็ต้องการให้มีการปราบปรามคนจีนส่วนน้อยที่กระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย
แต่เป็นที่น่าสงสัยว่า “ธุรกิจสีเทา” ของคนเหล่านี้ ถูกกฎหมายในประเทศไทยได้อย่างไร คนเหล่านี้ได้รับสัญชาติไทยได้อย่างไร และพวกเขาได้มาตั้งหลักที่มั่นคงในประเทศไทยได้อย่างไร
ในการกวาดล้าง “ธุรกิจสีเทา” ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ได้เริ่มจากการสอบสวนวีซ่าที่ไม่เข้าเกณฑ์ “วีซ่าจำแลง” ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องบางคนส่งเสริมให้กลุ่มคนจีนที่ทำผิดกฎหมายเข้าสู่ประเทศ ในรูปแบบขบวนการแปลงวีซ่า ให้เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเปลี่ยนประเภทวีซ่า ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชาวจีนจำนวนมากที่อาศัยในประเทศไทย
อีกทั้งความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทยที่ไม่เข้าใจ หรือรู้ความจริงบางส่วนอาจจะไขว้เขวโดยไปเชื่อมโยงเหมารวม “ชาวจีน” และ “ธุรกิจสีเทา” เข้าด้วยกัน อันเป็นเหตุนำไปสู่การทำลายชื่อเสียงของชาวจีนในภาพรวม
ยิ่งเมื่อมีรายงานข่าว ทำนองว่า ทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางและวีซ่าที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงบริษัทที่มีชาวจีนเป็นเจ้าของกิจการ จึงกลายเป็นข้อสงสัยว่ารัฐบาลไทยและตำรวจกำลังจะกวาดล้างชาวจีน และพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจของชาวจีนแบบเหมารวมหรือไม่ ซึ่งทำให้กลุ่มทุนจีนสีขาว ไม่สบายใจกับสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับปัญหาข้างต้น ยังดีที่ในการนำทีมสืบสวนโดย พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ได้มีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 65 ซึ่งมีประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง ใจความว่า
ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังปราบปราม กลุ่มทุนสีเทาจากต่างประเทศ จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า “เจ้าหน้าที่รัฐของไทยมุ่งเป้าไปที่คนจีนโดยเฉพาะ และ ต่อต้านคนจีน” แต่เรื่องนี้ ไม่เป็นความจริง
อนึ่ง ผมขอชี้แจงว่าในการปราบปรามธุรกิจสีเทาเหล่านี้ อาจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนที่ใช้ประโยชน์จากการสืบสวนเพื่อแสวงหาเงินและกำไร หากมีชาวจีนโพ้นทะเลหรือชาวจีนในประเทศไทยถูกปฏิบัติในลักษณะนี้ สามารถรายงานต่อผมได้ ผมจะลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำความผิดตามกฎหมายอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ผมยังได้แจ้งต่อผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยให้กำชับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินงานอย่างยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว เราไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ชาวจีน และไม่ได้จะพยายามขับไล่ชาวจีนออกจากประเทศไทย
ผมขอยืนยันกับชาวจีนในประเทศไทยว่าตราบใดที่เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายและปฏิบัติตามกฎระเบียบ ชาวจีนทุกคนสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้สบายใจ และไม่ต้องกังวลกับการดำเนินการต่อต้านธุรกิจสีเทา เราจะไม่ปล่อยให้คนต่างชาติที่ก่ออาชญากรรมในประเทศไทยลอยนวล และเราจะไม่เอาคนต่างชาติที่บริสุทธิ์เข้าไปพัวพัน
สำหรับกรณีวีซ่าของชาวจีนถูกระงับนั้นมิเป็นความจริง ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีการตรวจสอบกลุ่มต่างชาติที่ทำวีซ่าเข้ามาอย่างไม่ถูกกฎหมาย “วีซ่าจำแลง” ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องและเที่ยงธรรม ในส่วนผู้ที่ถือวีซ่าปกติซึ่งดำเนินตามขั้นตอนอย่างถูกตามกฎหมายจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น
สุดท้าย พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ยังได้ฝากข้อความถึงสื่อและสำนักข่าวต่างๆในไทยเกี่ยวกับการพาดหัวข่าวด้วยว่า ขณะนี้ผู้อ่านข่าวชาวจีนและชาวจีนโพ้นทะเลมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับข่าว “การปราบปรามธุรกิจสีเทาจากต่างประเทศ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็มิได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด กำลังเร่งดำเนินการต่อผู้กระทำผิด และขอให้ชาวจีนซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในไทยอย่าได้เป็นกังวล
พร้อมทั้งชี้แนะว่าควรเปลี่ยนหัวข้อการพาดข่าวเป็น “กลุ่มทุนสีเทาจากต่างประเทศ” มิใช่ “กลุ่มทุนจีนสีเทา”
นอกจากนี้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ยังกล่าวอีกว่า “ธุรกิจสีเทา” ที่ไทยกำลังปราบปรามนั้นมิใช่เจาะจงเพียงแค่ชาวจีน แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนจากทั่วโลกที่มาไทยเพื่อทำธุรกิจผิดกฎหมาย เรามิได้มีนโยบายที่จะขับไล่ชาวจีน ได้โปรดวางใจ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ชาวจีนทั้งหลาย!
จากถ้อยแถลงดังกล่าว สะท้อนว่า พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ใช้คำว่า “กลุ่มทุนจีนสีเทา” ดังที่ปรากฎตามสื่อส่วนใหญ่ แต่ยังพยายามที่จะสื่อสารทำความเข้าใจที่ถูกต้องว่า หากเป็นธุรกิจสีเทาไม่ว่าจะมาจากประเทศใด ล้วนจะต้องถูกปราบปราม ไม่ใช่แต่จะปราบเฉพาะชาวจีนเท่านั้น
ที่สำคัญ ตำรวจที่ชอบธรรมในประเทศไทยไม่เพียงจะต้องต่อสู้กับ “อาชญากรต่างชาติ” เพียงกลุ่มเดียว แต่ยังรวมถึง “เกราะป้องกัน” การเรียกเก็บผลประโยชน์ส่วนตนจาก “ธุรกิจสีเทา” การปราบปรามการทำงานนั้นง่ายกว่าการจัดการกับ “ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” และ “มนุษยธรรม”
ด้วยเหตุนี้ หากมองในระยะยาว ปัญหา “ธุรกิจสีเทา” จะยังคงไม่หมดไปจากสังคมไทย และหากจะมองในระยะสั้นก็ยังไม่มีสัญญาณการยุติ ตราบใดที่โครงสร้างทางการเงินและนโยบายยังคงเหมือนเดิม การจ้างงานก็ลดลง การจับจ่ายใช้สอยก็ลดลง นั่นหมายถึง “ธุรกิจสีเทา” คือสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทย ถ้าถอนรากก็ทำให้ถึงกับสะเทือน
ขณะเดียวกัน ปฏิเสธมิได้ว่ามีเหล่าบรรดานักการเมืองไทยบางกลุ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจสีเทา” เหล่านี้ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีมาตรฐาน คนร้ายบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นมิจฉาชีพ การพนัน การค้ามนุษย์ คนติดยา ตราบใดที่กลุ่มคนเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ มันก็จะขยายวงกว้างและแทรกซึมอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่สถานการณ์ดังกล่าวประทุรุนแรงขึ้น ชาวจีนจำนวนมากที่มาลงทุนทำธุรกิจ หรือศึกษาต่อในประเทศไทยแม้จะกังวล แต่ก็ไม่มีสมาคมธุรกิจชาวจีนในไทยกล้าออกมาพูด ดังนั้น โดยส่วนตัวจึงเห็นว่าเป็นความจำเป็นในการที่จะลุกขึ้นยืนและต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และในฐานะตัวแทนของชาวไทยเชื้อสายจีน ก็ปรารถนาให้พี่น้องชาวจีนยืนหยัดทำธุรกิจและใช้ชีวิตอย่างถูกกฎหมาย เคารพขนบธรรมเนียมและประเพณีท้องถิ่น เช่นนั้นแล้วย่อมจะสามารถดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ของเราในฐานะชาวจีนได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ…
นายภูวนารถ กล่าวในท้ายสุดว่า หลังจากที่ได้อ่านบทความที่ได้รับมาทั้งหมดแล้ว จึงเห็นเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการที่ต้องร่วมเผยแพร่บทความดังกล่าว และหวังให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่งดงามระหว่างจีนและไทยให้ยืนยาวตลอดไป