“ธรรมนัส” ขึ้นเวทีบรรยายพิเศษ “ปีมังกรทอง เกษตรกรไทย” ร่ายยาว “ปัญหาของเกษตรกร” พร้อมวิธีแก้ไขโดยใช้หลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” สัญญา “จะทำให้ดีที่สุด” ขอบคุณ “สื่อมวลชน” ช่วยเป็น กระจกเงาเสนอภาพความจริงของสังคมไทย
วันที่ 24 ม.ค.2567 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ถนนรางน้ำ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ในงานสัมมนา “Thailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกียรติร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปีมังกรทอง เกษตรกรไทย”
โดยบางช่วงบางตอน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศ เกือบ 31 ล้านคนที่ประกอบอาชีพการเกษตร แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้แรงงานอีก 20 กว่าล้านคนที่ขายแรงงานภาคการเกษตร ดังนั้น ภาคการเกษตรจึงเกี่ยวเนื่องกับคนกว่า 50 ล้านชีวิต ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทุกนโยบายของรัฐบาลกระทรวงเกษตรฯ ต้องนำไปปฏิบัติ
“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ก.ย 2566 ว่าจะเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องคนไทยเป็น 3 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี นี่จึงถือเป็นภารกิจที่ท้าทายที่อยู่บนบ่าของตน ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยทั้ง 2 ท่าน ว่าจะขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างไร”
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงการเจริญเติบโตของ GDP ภาคการเกษตร ว่าน่าใจหาย เพราะมีการขยายตัวเพียงแค่ 0.3 ถือว่าน้อยมาก ในปี 2566 ตนใช้เวลาทำการบ้านถึง 4 เดือน จึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาคการเกษตรของไทย จากที่เคยอยู่ในอันดับต้นๆของโลก แต่กลับดิ่งต่ำลงในปี 2565 – 2566
ส่วนเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ ก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นเดียว, ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ที่ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด, สังคมของประเทศไทยที่กลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ
หรือแม้แต่ภาคการประมง ที่ไทยที่เคยเข้มแข็ง เคยส่งออกสู่ตลาดโลกจนได้รับขนานนามว่า “เจ้าแห่งมหาสมุทร” ซึ่งตนใช้เวลา 4 เดือน แก้ไขปัญหาที่คาใจชาวประมง ปลดล็อคให้ชาวประมงมีชีวิตชีวาขึ้น แต่พอประมงเริ่มกลับมาคล่องตัว ราคาพืชผลทางการเกษตรกลับตกต่ำจากปัญหาด้านการตลาด “นายกฯจึงเสนอให้ใช้แนวทาง “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้พี่น้องเกษตรกร”
อีกหนึ่งปัญหา คือ ประเทศไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศในทุกเรื่อง บ้านเราเป็นเมืองผลิต แต่ทำไมต้องสั่งสินค้าภาคการเกษตรนำเข้า รวมถึงการนำเข้าหมูเถื่อน “หมู 1 ตู้คอนเทนเนอร์ มีเครื่องในหมูเท่ากับเนื้อหมู 300 ตัว ซึ่งช่วงที่ผ่านมา มีการนำเข้ามากกว่า 10,000 ตู้ จะไม่ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเดือดร้อนได้อย่างไร” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ จากราคาตกต่ำเนื่องจากมีการนำเข้าเนื้อจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมาก ผ่านชายแดนมาทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และระนอง และปัญหายางพาราที่เคยส่งออกราคากิโลกรัมละ 120 บาท แต่ช่วงที่ตนเข้ามาราคายางก้นถ้วยอยู่ที่กิโลกรัมละ 18 บาท
ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ปัญหาส่วนหนึ่งของเกษตรกรไทย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวย้ำว่า “ข้าราชการของกระทรวงเกษตรฯยุคนี้ ต้องไม่ทำงานลูทีน ต้องทำงานให้หนัก ลงพื้นที่เพื่อสดับรับฟังปัญหาด้วยหูด้วยตา จะได้รู้ว่าชาวบ้านเดือดร้อนอะไร สิ่งไหนที่สั่งการได้ให้เร่งสั่งการทันที สิ่งไหนที่สั่งการไม่ได้ต้องกลับมาทำการบ้าน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ”
ด้านการส่งออก ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย เดินทางเจรจาการค้ากับประเทศจีน สินค้าไหนที่ไม่ได้ควบคุมให้ดำเนินการส่งออกทันที
รวมถึงการเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน โดยการมอบที่ดิน ส.ป.ก.4-01 แล้วเปลี่ยนเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรให้กับคนไทยทั้งแผ่นดินเกือบ 2 ล้านกว่าครอบครัว
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวทิ้งท้ายว่า “นี่เป็นบางส่วนที่ตนไปสัมผัสกับพี่น้องประชาชนคนไทยมา โดยเชื่อว่าภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านเป็นนักธุรกิจ เรื่องการเจรจาการค้าต่างๆ ท่านจะให้ความสำคัญกับคนไทยภาคการเกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่ผลิตและหาตลาดควบคู่กันไป ฝากถึงพี่น้องเกษตรกรคนไทยและผู้ใช้แรงงานภาคการเกษตร ว่าเราจะทำให้ดีที่สุด เราจะเปิดฟังความคิดเห็นภาคประชาชน อยากเห็นประชาชนเข้ามามีส่วนช่วยบริหารบ้านเมือง ขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนที่เป็นกระจกเงาเสนอภาพความเป็นจริงของสังคมไทย ทุกภาคส่วน”
