#ไม่มีต้มยำกุ้ง แต่อาจมีต้มข่าไก่
เมื่อวาน ธนาคารกลางอังกฤษ ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ไปอยู่ที่ 1.75% เป็นการเพิ่มสูงสุดในรอบ 27 ปี เพื่อจัดการกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงถึง 9.4% และคาดว่าเดือนตุลาคมนี้ อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะไปแตะระดับสูงสุดที่ 13.3% แล้วจะค่อยๆลดลงสู่กรอบเงินเฟ้อ 2% ในเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า
ของไทยเรา คาดว่าขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่ แต่จะขึ้นเท่าไร รอผลการประชุม กนง สัปดาห์หน้า วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ประกาศอัตราเงินเฟ้อลดลงจากเดือนที่แล้วเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.61% ต่ำกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.0%
ดูตัวเลขแล้ว หลายคนถามมาว่า เศรษฐกิจโลกถดถอย เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น หลายประเทศสถานะการคลังย่ำแย่ ของไทยเราจะเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งเหมือนปี 2540 ไหม?ในการบริหารความเสี่ยง คงต้องมองทั้งด้านบวกและด้านลบ
ด้านลบที่เป็นจุดเปราะบาง คือ หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้น นำไปสู่ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นที่ฉุดรั้งกำลังซื้อในตลาด และเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย ก็ได้เห็นความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือให้ความรู้และแนะนำแนวทางป้องกันหนี้เสียให้ภาคครัวเรือนในระดับหนึ่งแล้ว
หันมาดูด้านบวก ในสถานการณ์ปัจจุบันของไทยมีปัจจัยบวกสองจุดสำคัญ ที่จะไม่ทำให้ไทยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งแบบปี 2540 คือ
1. เงินบาทตอนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งยังใช้ระบบ peg คือ ผูกกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐแบบตายตัว แต่วันนี้ ค่าเงินบาทลอยตัวแบบมีการจัดการ (managed float) และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตอนนั้นอ่อนค่ามาก แต่ปัจจุบันเงินดอลแข็งค่า
2.สถาบันการเงินของไทยยังมีผลการดำเนินงานและสถานะการเงินที่เข้มแข็ง อัตราส่วนที่วัดค่าความเสี่ยงด้านต่างๆของธนาคารยังอยู่ในระดับที่ดีมาก ไม่ได้มีอาการที่จะเสี่ยงล้มเหมือนในอดีต
แต่ในครั้งนี้ สองจุดบวกที่ว่า หากรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าใจและพิจารณาให้ละเอียด นำมากำหนดนโยบายการเงินการคลังที่เหมาะสม พร้อมกับวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการฟื้นตัวในระยะยาวมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระยะสั้น เราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน
ถ้ากำหนดนโยบายอย่างเข้าใจและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง รอบนี้ไม่มีต้มยำกุ้งนะคะ
อาจารย์แหม่ม
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
5 สิงหาคม 2565