ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจจีนปี 2023
เพราะทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ไม่เพียงแต่เฉพาะเศรษฐกิจของประเทศจีนเองเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของโลกด้วย เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกและยิ่งโดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย ซึ่งอาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่ได้แข็งแรงเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ในการฟื้นตัวในปี 2566 จึงยังคงฝากความหวังไว้กับ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นหลัก เนื่องจากรายได้จากการส่งออกสินค้านั้น ยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายๆประเทศ
ด้วยเหตุที่การท่องเที่ยวคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรงขึ้น จึงแน่นอนว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ถือเป็นแรงกระตุ้นสำคัญอย่างมากสำหรับท่องเที่ยวไทยในปี 2566
สำหรับ เศรษฐกิจจีนในปี 2023 บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ รวมทั้งองค์กรสถาบันการเงินระดับโลก อาทิ เวิลด์แบงก์ ไอเอ็มเอฟ เป็นต้น ล้วนยังคงให้ความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของประเทศจีนจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะหลังผ่อนคลายมาตรการด้านโควิด
โดยจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตัวเลขล่าสุดทั้งปี 2022 มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 3.0% ซึ่งปีที่ผ่านมามีขนาดเศรษฐกิจทะลุ 120 ล้านล้านหยวน (ราว 593 ล้านล้านบาท) ไปแล้ว
ซึ่งโดยทิศทางดังกล่าว ถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจีนก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทั่วโลก แต่ ในปี 2020 ยังคงพบว่า GDP ของจีนในปีนั้นสามารถเติบโตได้มากกว่า 100 ล้านล้านหยวน (ราว 494 ล้านล้านบาท) และยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 114.9 ล้านล้านหยวน (ราว 568 ล้านล้านบาท) ในปี 2021
ดังนั้น ทิศทางเศรษฐกิจจีนในปี 2023 นี้ ซึ่งในการคาดการณ์หลังสุด พบว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า GDP ของจีนในปี 2023 จะยังคงมีโอกาสขยายตัวได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบเป็นรายปี แม้ว่าในปีนี้อาจจะยังมีความผันผวนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นในระหว่างปีได้ก็ตาม แต่การรับมือของจีนในการเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายแล้ว จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจของทั่วโลกกลับมาเริ่มทะยอยฟื้นตัวได้ทิศทางของเศรษฐกิจจีนจึงยังคงเป็นปัจจัยหลักในการที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกคาดหวังว่า จะยังคงแข็งแรงและช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้เร็วขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น เมื่อ ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน ได้ประกาศยืนยันการเดินหน้าและสร้างระบบสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ของจีนเข้าสู่การเป็นจีนยุคใหม่ โดยยืนยันการใช้นโยบายการคลังเชิงรุก เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนของธุรกิจจีน มีการลงทุน มีการผลิต และมีกำลังซื้อ มีการบริโภคที่สูงขึ้น จึงเป็นทิศทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนของจีนในปีนี้ ที่จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจโลกได้อย่างแน่นอน
กล่าวสำหรับประเทศไทย รวมทั้งประเทศต่างๆที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการฟื้นฟูประเทศ การเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาของประเทศจีน ถือเป็นสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัด เพราะทุกประเทศที่หวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ต่างตระหนักดีว่า นักท่องเที่ยวจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้ออย่างมากหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้มีการคาดการณ์ตัวเลขของนักท่องเที่ยวจีน ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ไว้ประมาณ 2 ล้านคนเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่ประเมินว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ในวันที่ 20 มกราคม เป็นต้นไปนั้น จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศไทยราว 200,000 คน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี
จังหวะของการประกาศเปิดประเทศของรัฐบาลจีน เป็นวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงของการเปิดประเทศก่อนเทศกาลตรุษจีน ก่อน Golden Week ที่เป็นเทศกาลท่องเที่ยวสำคัญของคนจีน จึงถือเป็นการช่วยสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับนานาประเทศนั่นเอง
ดังนั้น การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีจีน ได้มีมาตรการกระตุ้นบรรยากาศเศรษฐกิจ กระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บนความมุ่งมั่นส่งเสริมประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ จึงถือเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่สำคัญยิ่งทั้งต่อประเทศไทย และต่อทุกประเทศทั่วโลก
โดย นายภูวนารถ ณ สงขลา
นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน