“ธรรมนัส” พบเกษตรกร “จ.บึงกาฬ” หนุนผลิต “เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี”,และตรวจเยี่ยม “วิสาหกิจชุมชนกล้วยหอมทอง” ชู “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ยั่งยืน
วันที่ 3 ธ.ค. 2566 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวุงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมการดำเนินการของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวบึงกาฬ ณ ต.ดอนหญ้านาง อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ ซึ่งศูนย์ดังกล่าวเป็นศูนย์บริการประชาชนภาคการเกษตร โดยเป็นศูนย์บริการร่วมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและพี่น้องเกษตรกร เพื่อให้สามารถติดต่อสอบถามขอทราบข้อมูลด้านข้าว ทั้งการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวสู่เกษตรกรในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างการผลิตข้าวคุณภาพดี สร้างความเข็มแข็งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้โครงการและกิจกรรมของกรมการข้าว รวมถึงส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี และควบคุม กำกับการใช้และจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีคุณภาพและไม่ผ่านการรับรอง โดยผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว พันธุ์ กข22 , พันธุ์ กข6 และพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 เป้าหมายการผลิตปี 2566 จำนวน 1,900,000 กิโลกรัม
นอกจากนี้ ยังเป็นโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งสามารถกระจายเมล็ดพันธุ์ดีให้แก่กษตรกรใน จ.บึงกาฬได้ 3,814 ครัวเรือน พื้นที่ประมาณ 39,624 ไร่ จำนวนเมล็ดพันธุ์ 578,000 กิโลกรัม ทั้งนี้ ในอนาคตมีเป้าหมายในการเพิ่มผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว จากเดิม 1,900,000 กิโลกรัม เป็น 2,500,000 กิโลกรัม ภายในปี 2569 เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวและส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว พร้อมทั้งการผลิตข้าวคุณภาพดี และการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้าวของเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าว มีแนวทางในการปรับปรุงพันธุ์ให้ได้คุณภาพ โดยในพื้นที่ จ.หนองคายและบึงกาฬ มีศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย ได้วิจัยและปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์ข้าวคุณภาพดี จำนวนหลายพันธุ์ อาทิ ข่าวเหนียวพันธุ์ กข22 ผลผลิตเฉลี่ย 684 กิโลกรัมต่อไร่ และข้าวเจ้าคุณภาพพิเศษ พันธุ์ กข83 (มะลิดำหนองคาย 62) ผลผลิตเฉลี่ย 640 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นต้น ซึ่งการปรับปรุงเมล็ดข้าวพันธุ์ดี จะทำให้ชาวนามีผลผลิตข้าวต่อไร่เพิ่มขึ้น และจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ในราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย
จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส ยังได้ติดตามการดำเนินงานแปลงใหญ่วิสาหกิจชุมชนกล้วยหอมทอง B.K. 77 โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ บ้านโพนแก้ว หมู่ที่ 10 ต.หนองหัวช้าง อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ ซึ่งวิสาหกิจชุมชนดังกล่าว มีพื้นที่ปลูก 164 ไร่ (1 ไร่ ต่อ 400 ต้น/หน่อ) มีรายได้สุทธิ 84,178 บาท/ไร่ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้มุ่งเน้นในเรื่อง “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มีแผนในการขยายพื้นที่ปลูกกล้วยหอมทองเพิ่มขึ้นโดยการเชื่อมโยงเครือข่าย การสร้างโรงงานคัดแยกกล้วยหอมทองในพื้นที่ จ.บึงกาฬ การเพิ่มปริมาณการส่งออกไปยังต่างประเทศ เพิ่มช่องทางจำหน่ายตลาดโมเดิร์นเทรด และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การผลิตกระดาษ ภาชนะ เสื้อ โดยใช้เส้นใยจากต้นกล้วย เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนกล้วยหอมทองสานน้ำโขง อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีแปลงใหญ่กล้วยหอมทอง จำนวน 33 แปลง พื้นที่ 16,417 ไร่ ปริมาณการผลิต จำนวน 74,182.45 ตันต่อปี มีการส่งออกไป 29 ประเทศ มูลค่า 485.36 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และลาว ตามลำดับ
“ปัจจุบันกล้วยหอมทองถือเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่มีความสำคัญ เนื่องจากกล้วยหอมทองมีความต้องการของตลาดต่างประเทศเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศไทย ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในเรื่ององค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต การจัดทำมาตรฐาน GAP และเทคโนโลยี เป็นต้น จึงมุ่งหวังให้พื้นที่ จ.บึงกาฬขยายจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในอนาคตต่อไป” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว